บุคคลที่อยู่ในสายวิชาชีพทางการบัญชีทุกคนจะต้องเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงขององค์กรธุรกิจ และคาดหวังได้ว่าจะสามารถปรับตัวเข้าสู่สภาวะของเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายรูปแบบของโลกแห่งความเป็นจริงขององค์กรธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้วความเป็นไปได้ที่จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่างๆ ที่ไม่อาจคาดคิดได้นั้น เพราะฉะนั้นนักบัญชีจะต้องมีความเข้าใจถึงผลกระทบทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน (Using) การประเมินผลงาน (Evaluating) และการพัฒนาระบบงาน (Developer) อย่างชัดเจน
ดังนั้น จึงต้องกำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นใช้ในการกำกับการทำงานขึ้น โดยภายในหลักเกณฑ์จะระบุถึงคำอธิบายลักษณะเฉพาะงานที่สามารถใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติในแต่ละหน้าที่หรือในแต่ละตำแหน่งงาน ไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกดำรงตำแหน่งใดๆ ก็สามารถที่จะปฏิบัติงานได้ และตำแหน่งงานทางบัญชีที่รู้จักกันดีก็คือ นักบัญชีการเงิน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษี นักบัญชีต้นทุน (บริหาร) ผู้จัดการฝ่ายบัญชี ผู้ตรวจสอบบัญชีและผู้พัฒนาระบบ ซึ่งแต่ละตำแหน่งที่กล่าวมานั้น จะมีความสัมพันธ์กันในระบบสารสนเทศทางการบัญชีขององค์กร ดังรายละเอียดที่จะกล่าวต่อไป
อ้างอิง หนังสือระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรุษ (นพฤทธิ์) คงรุ่งโชค
นักบัญชีการเงิน
นักบัญชีการเงิน คือ บุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหลักการบัญชีเพื่อทำหน้าที่ในการจัดทำและนำเสนอข้อมูลทางการเงิน โดยจะเริ่มต้นจากการบันทึกข้อมูลจนกระทั่งจัดทำรายงานทางการเงิน ซึ่งอาจประกอบไปด้วยการแสดงยอดคงเหลือ งบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางการเงิน ซึ่งเราทราบว่ามีบุคคลภายนอกเป็นจำนวนมากที่ต้องการงบการเงินบางส่วนหรือทั้งหมดสำหรับที่จะใช้ในการวางแผนและตัดสินใจในการกำหนดส่วนได้เสียของตน เช่น ผู้ลงทุนและเจ้าหนี้ เป็นต้น ดังนั้นระบบข้อมูลทางบัญชีการเงิน จึงต้องเป็นงบการเงินที่สอดคล้องกับหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป (GAAP) และนักบัญชีการเงินมีความรับผิดชอบที่จะทำให้แน่ใจว่างบการเงินที่จัดทำขึ้นสอดคล้องกับรูปแบบทางการบัญชีที่ถูกกำหนดขึ้นโดยองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง
อ้างอิง หนังสือระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรุษ (นพฤทธิ์) คงรุ่งโชค
ผู้เชี่ยวชาญทางภาษี
ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญทางภาษีเป็นตำแหน่งที่มีจุดประสงค์ที่จากพัฒนาข้อมูลที่มีข้อมูลผูกพันทางภาษีของปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของธุรกิจ รวมทั้งช่วยในการตัดสินใจในส่วนที่มีภาษีเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะฉะนั้น ข้อมูลที่ออกมาสำหรับผู้ใช้สามารถแบ่งพิจารณาออกเป็น 2 ประเภท คือ เจ้าหน้าที่ทางภาษีอากรภายนอก (รัฐบาล) ที่จะให้ความสนใจในยอดรายได้ค่าบริการ รายได้รับจากทรัพย์สิน ยอดขาย และแบบฟอร์มอื่น ๆ ซึ่งผู้จัดการของกิจการจะต้องทำการตัดสินใจเกี่ยวกับรายได้ รายงานภาษี และการวิเคราะห์ต่าง ๆ และผู้เชี่ยวชาญทางภาษีใช้ประโยชน์จากข้อมูลของระบบสารสนเทศทางการบัญชี ในการจัดเตรียมเพื่อขอคืนภาษีและนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนทางภาษีอากรเมื่อกฎหมายทางภาษีอากรมีการเปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงระบบสารสนเทศทางการบัญชี เพื่อสามารถประมวลผลข้อมูลให้เป็นที่ยอมรับและเกิดความถูกต้องมากที่สุด
อ้างอิง หนังสือระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรุษ (นพฤทธิ์) คงรุ่งโชค
นักบัญชีต้นทุน (บริหาร)
นักบัญชีบริหารหรือนักบัญชีต้นทุนมีจุดมุ่งหมายในการจัดหาข้อมูลสารสนเทศทางการเงินเพื่อผู้ใช้ข้อมูลภายใน ซึ่งเป็นข้อมูลสารสนเทศเพื่อใช้ในการดูแลเอาใจใส่และแนะนำโดยตรง (Attention - directing) ต่อฝ่ายจัดการ ซึ่งจะช่วยในการควบคุมการทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ ของธุรกิจ รวมทั้งยังช่วยเป็นข้อมูลในการตัดสินใจหาทางออก (decision - oriented) สำหรับช่วยเหลือในการวางแผนปฏิบัติงานและได้จัดเตรียมเพื่อใช้ในการควบคุมและการตัดสินใจ ตัวอย่างของข้อมูลเช่น ข้อมูลต้นทุนผันแปร ข้อมูลต้นทุน – ปริมาณ – กำไร (Coht – Volume – Profit) และข้อมูลที่ใช้ในการคาดคะเนไหลเวียนเงินสด เป็นต้น ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวไม่มีมาตรฐานการจัดทำมากำหนดรูปแบบที่ตายตัว ซึ่งนักบัญชีต้นทุน (บริการ) จะใช้ระบบมาช่วยในการพัฒนาข้อมูลสารสนเทศเพื่อบริหารรวมทั้งใช้ข้อมูลในการประเมินและเสนอให้มีการปรับปรุงระบบสารสนเทศทางการบัญชีอยู่เสมอ โดยเฉพาะในส่วนที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการตัดสินใจ รูปแบบของรายงานและการวิเคราะห์ต่าง ๆ นักบัญชีต้นทุน (บริหาร) สามารถเป็นผู้ชี้แนะเบื้องต้นให้กับผู้บริหารโดยใช้ข้อมูลสารสนเทศในการนำเสนอนั้นเอง
อ้างอิง หนังสือระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรุษ (นพฤทธิ์) คงรุ่งโชค
ผู้จัดการฝ่ายบัญชี
หัวหน้างานทางด้านงานบัญชีก็คือผู้จัดการฝ่ายบัญชีซึ่งเป็นส่วนงานหนึ่งของผู้อำนวยการบัญชีและการเงิน (Controller) และผู้จัดการฝ่ายบัญชีจะทำหน้าที่ในการจัดทำรายงานให้กับผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน (Controller) ผู้จัดการฝ่ายบัญชีในที่นี้รวมถึงหัวหน้าบัญชีการเงิน หัวหน้าบัญชีต้นทุนและผู้จัดการงบประมาณ ผู้จัดการเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการให้คำปรึกษาปัญหาต่าง ๆ ทางด้านการบัญชีแต่ละด้าน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ระบบสารสนเทศทางการบัญชี ในกาควบคุมกิจกรรมทางการบัญชี รวมทั้งใช้ระบบสารสนเทศทางการบัญชีในการประเมินการปฏิบัติงานของพนักงานบัญชี การวางแผนการดำเนินงานและหน้าที่ต่าง ๆ ของส่วนงานบัญชีในกิจการ
อ้างอิง หนังสือระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรุษ (นพฤทธิ์) คงรุ่งโชค
ผู้ตรวจสอบ ( บัญชีและระบบสารสนเทศ )
การตรวจสอบมีจุดประสงค์ในการประเมินค่าของข้อมูลสารสนเทศที่ได้จากระบบสารสนเทศทางการบัญชีหรือรูปแบบการทำงานของระบบสารสนเทศทางการบัญชี ในด้านต่างๆ เช่น ผู้ตรวจสอบคนหนึ่งประเมินระบบสารสนเทศทางการบัญชีในด้านความเชื่อถือได้ ความครบถ้วนของข้อมูลสารสนเทศและความสอดคล้องของระบบการควบคุมภายในของบริษัท ถึงแม้ว่ารูปแบบการตรวจสอบจะมีการดำเนินการได้หลายรูปแบบแต่การตรวจสอบด้านการเงินอาจเป็นหัวข้อของการตรวจสอบที่ดูแล้วเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำกัน แต่ในการตรวจสอบเรื่องการประเมินผลงานของระบบงานเป็นพื้นฐานของการตรวจสอบระบบสารสนเทศทางการบัญชี และรวมไปถึงการพิจารณาในส่วนของการควบคุมสภาพแวดล้อมและการปฏิบัติงานเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำการทดสอบการควบคุมที่มีอยู่จริง รวมทั้งการทดสอบเนื้อหาของการบันทึกบัญชีที่มีอยู่ในระบบงานนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจสอบประเมินความสอดคล้องของการดำเนินงานของระบบสารสนเทศทางการบัญชีในส่วนที่เป็นจุดสำคัญ (เช่น ระบบการควบคุมภายใน ) ผู้ตรวจสอบบางคนอาจเป็นพยานให้ในความถูกต้องของงบการเงินที่ใช้ระบบสารสนเทศทางการบัญชี ถึงแม้ว่าผู้ตรวจสอบเป็นหลักสำคัญในการประเมินค่า แต่ผู้สอบก็ต้องการทราบเกี่ยวกับการสร้างการใช้ระบบสารสนเทศทางการบัญชีอย่างกว้างๆ เพื่อที่จะให้คำแนะนำและปรับปรุงระบบสารสนเทศทางการบัญชีสำหรับการออกแบบระบบงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรคำนึงถึงการควบคุมภายใน ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการประเมินผลทางคอมพิวเตอร์ และระบบต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ตรวจสอบอย่างมาก และด้วยเหตุผลนี้ ผู้ตรวจสอบจึงต้องมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์พอสมควร ( Computer-based) และสามารถที่จะกำหนดความสัมพันธ์ของเทคนิคการตรวจสอบได้อย่างลงตัวกับระบบสารสนเทศทางการบัญชี (มักเรียกว่า EDP Auditors) ซึ่งในบางทีอาจเรียกผู้ตรวจสอบประเภทนี้ว่าผู้ตรวจสอบการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Processing (EDP) Auditors
อ้างอิง หนังสือระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรุษ (นพฤทธิ์) คงรุ่งโชค
ผู้พัฒนาระบบ
นักบัญชีเป็นเสมือนผู้ให้บริการด้านการวางแผนและพัฒนาระบบสารสนเทศทางการบัญชี การออกแบบระบบต่างๆ เป็นหัวใจสำคัญของวงจรการพัฒนาระบบ (Systems development cycle) โดยประกอบด้วยการออกแบบระบบสารสนเทศทางการบัญชีให้เหมาะสมกับสภาพของกิจการในปัจจุบันและสภาพแวดล้อมโดยรวม ซึ่งการออกแบบอาจรวมถึงการปรับปรุงระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่มีอยู่แล้วหรือเป็นระบบสารสนเทศทางการบัญชี ที่เพิ่งใช้ในระยะแรกๆ ของกิจการที่เปิดใหม่ ซึ่งก่อนที่จะมีการออกแบบจะมีขั้นตอนการดำเนินการอยู่ 2 ส่วน คือ การวางระบบ และการวิเคราะห์ระบบ สำหรับการวางระบบ ประกอบด้วย การวางพื้นฐานระบบสารสนเทศทางการบัญชีในบริษัทใหม่หรือระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่เคยได้รับการปรับปรุงมาแล้ว การวิเคราะห์ระบบจะพิจารราเกี่ยวกับการกำหนดปัญหาของระบบสารสนเทศทางการบัญชีที่ใช้อยู่และการตัดสินใจถึงความต้องการของระบบหลังจากที่ได้ระบบออกมาและได้รับการยอมรับแล้วก็จะถูกติดตั้งเพื่อใช้ในการดำเนินการต่อไป ดังนั้น นักบัญชีจึงได้รับหน้าที่และบทบาทในด้านการพัฒนาระบบต่างๆ และเป็นผู้ออกแบบระบบต่างๆ อีกหน้าที่หนึ่ง ซึ่งผู้ออกแบบระบบภายในองค์กรใดองค์กรหนึ่งเรียกว่า System Analyst หรือนักวิเคราะห์ระบบนั่นเองโดยตำแหน่งและหน้าที่ถือว่าเป็นพนักงานของบริษัทอีกหน้าที่หนึ่ง ส่วนมากนักบัญชีที่ต้องการทำงานในฐานะนักพัฒนาระบบงานที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในทีมงานโดยทำหน้าที่ช่วยในงานการวิเคราะห์ระบบของแผนงานระบบสารสนเทศรวมทั้งนักบัญชียังสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบโดยทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและทำหน้าที่ในการให้คำแนะนำการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์และการอบรทบุคลากรที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการทำงานอีกด้วย
อ้างอิง หนังสือระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรุษ (นพฤทธิ์) คงรุ่งโชค
https://www.youtube.com/watch?v=XaSnIxF7UxA
นักบัญชี
นิยามอาชีพ
ให้บริการทางการบัญชีแก่สถานประกอบการ ธุรกิจ บุคคล สถาบันเอกชนหรือหน่วยงานรัฐบาล รวมถึงการควบคุมดูแลการทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี แนะนำการวางแผนการจัดระบบการจัดทำบัญชีและงบประมาณ รับรองความถูกต้องและความครบถ้วนของงบการเงินเพื่อแสดงต่อผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และหน่วยงานทางกฎหมายและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดทำงบประมาณการรายได้ ประมาณการรายจ่าย ผลการดำเนินงานและงบประมาณอื่นๆ ดำเนินการเกี่ยวกับการคืนภาษี และให้คำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาด้านการจัดเก็บภาษี ตรวจสอบเงินได้พึงประเมินเพื่อยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมิน หรือจัดส่งให้เจ้าหน้าที่ผู้ประเมินภาษีเพื่อยื่นต่อเจ้าหน้าที่สรรพากร รวมถึงตรวจสอบหลักฐานทางการเงินต่างๆ เช่น การฉ้อฉลและการล้มละลายตลอดจนปฏิบัติงานหน้าที่การงานเกี่ยวข้อง และควบคุมดูแลผู้ปฏิบัติงานอื่นๆนักบัญชี
ที่มา : กรมจัดหางาน กระทรวงแรงงาน
คุณสมบัติของนักบัญชี
1. นักบัญชี ต้องสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการบัญชี ซึ่งคณะกรรมการการอุดมศึกษารับรอง
2. พนักงานบัญชีต้องมีคุณวุฒิไม่ต่ำกว่าอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ทางการบัญชีหรือเทียบเท่าหรือมีคุณวุฒิปริญญาตรีทางการบัญชี บริหารธุรกิจหรือเทียบเท่าจากสถาบันการศึกษาซึ่งคณะกรรมการการอาชีวศึกษาและคณะกรรมการการอุดมศึกษารับรอง
3. มีความซื่อสัตย์ในหน้าที่เนื่องจากทำงานเกี่ยวกับการเงิน
4. มีความรับผิดชอบต่อวิชาชีพในการนำเสนอข้อมูลทางบัญชีที่เชื่อถือได้ถูกต้องรวดเร็วและมีประโยชน์อย่างแท้จริงในการตัดสินใจ
5. มีความรอบคอบ มีวิจารณญาณ เพื่อพิจารณาหาหลักปฏิบัติที่เหมาะสม และส่งผลกระทบในด้านลบให้น้อยที่สุดแก่หน่วยงานหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
6. รับผิดชอบในการพัฒนาตนเองและให้ความร่วมมือในการพัฒนาวิชาชีพและสังคม
7. สามารถใช้คอมพิวเตอร์ มีประสบการณ์ในด้านโปรแกรม software บัญชีมีความรู้ภาษาอังกฤษตามสมควร มีความรู้ระบบภาษีของไทย
ที่มา : https://anauditor.weebly.com/
ลักษณะของงานบัญชี
ลักษณะโดยทั่วไปของงานบัญชีที่ให้บริการกัน ได้แก่ การรับทำบัญชี การตรวจสอบบัญชี การวางระบบบัญชี การบัญชีต้นทุน การพยากรณ์ทางการเงิน การวางแผนภาษีอากร การบัญชีเพื่อการบริหาร เป็นต้น
งานบัญชีทำอะไรบ้างโดยนักบัญชีจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบหลัก ๆ ดังนี้
1. ทำหน้าที่บันทึกข้อมูลทางการเงินตามระบบของการบัญชี
2. ทำบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่าย ให้กับองค์กร
3. ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทางบัญชี
4. บันทึกการจ่ายเงิน การรับเงิน และธุรกรรมทางการเงิน
5. ทำงบแสดงฐานะการเงิน และรวบรวมรายงานการเงินตามระยะเวลาที่กำหนด
6. จัดแสดงรายรับรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัท
7. ทำรายงานปิดงบการเงินประจำเดือนให้กับบริษัท
ประเภทของงานบัญชี
งานในวิชาชีพบัญชีสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. งานบัญชีของธุรกิจ (Private Accounting) คือ งานบัญชีทั่วไป ที่นักบัญชีรับทำให้แก่บริษัทเอกชนทั่วไป
2. งานบัญชีสาธารณะ (Public Accounting) คือ งานบัญชีอิสระ ที่ผู้ทำบัญชีจะให้บริการด้านการบัญชีโดยไม่ต้องเป็นลูกจ้างของหน่วยงาน หรือองค์กรใด
3. งานบัญชีของรัฐบาล (Governmental Accounting) คือ งานบัญชีที่ทำให้กับหน่วยงานรัฐบาล โดยนักบัญชี จะมีฐานะเป็นข้าราชการประจำของหน่วยงานราชการนั้น
ระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System)
ในอดีตการบริหารธุรกิจจะประสบความสำเร็จหรือไม่จะขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเป็นสำคัญกล่าวคือถ้าคนใดสามารถวางแผนได้ดี ควบคุมงานได้ดี ก็จะทำให้การบริหารกิจการนั้นสัมฤทธิ์ผลได้ แต่ในปัจจุบันเมื่อธุรกิจมีการแข่งขันมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ได้มีการพัฒนามากขึ้น คุณภาพของการบริหารและความอยู่รอดขององค์นั้นจึงขึ้นกับระบบมากกว่าตัวบุคคล ดังนั้นการบริหารสมัยใหม่ จะให้ความสำคัญกับระบบข้อมูล และระบบสารสนเทศมากขึ้น เพราะหากกิจการใดมีระบบสารสนเทศที่ดีกว่าก็จะทำให้สามารถให้ข้อมูลในการตัดสินใจที่รวดเร็ว ถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งจะส่งผลให้กิจการนั้นสามารถอยู่รอดได้มากกว่า
ระบบสารสนเทศทางการบัญชี (Accounting Information System) เป็นระบบที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแปลงหรือประมวลผลข้อมูลทางการเงิน ให้เป็นสารสนเทศที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจต่อผู้ใช้ สำหรับผู้ใช้ประโยชน์จากสารสนเทศทางการบัญชีอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ บุคคลภายในองค์กร และบุคคลภายนอกองค์กรเช่น ผู้ถือหุ้น นักลงทุน เจ้าหนี้ หน่วยงานของรัฐบาล และคู่แข่งขัน เป็นต้น ทั้งนี้กระบวนการแปลงข้อมูลหรือ ประมวลผลข้อมูลในระบบสารสนเทศทางการบัญชีนั้นอาจกระทำด้วยมือหรือใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยก็ได้ ตัวอย่างของสารสนเทศทางการบัญชี ที่มีประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้ใช้ เช่น งบกำไรขาดทุน งบดุล งบกระแสเงินสด เป็นต้น ซึ่งสารสนเทศเหล่านี้ได้มาจากการประมวลผลรายการค้าต่าง ๆ ของกิจการดังนั้นรายการค้าแต่ละรายการ เช่น รายการขายสินค้า ซื้อสินค้า ฯลฯ จึงถือว่าเป็นตัวอย่างของข้อมูล ของระบบสารสนเทศทางการบัญชี สารสนเทศเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และมีค่า ต่อการตัดสินใจเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้ทำให้สามารถคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น และช่วยลดความไม่แน่นอนให้แก่ผู้ที่ทำการตัดสินใจโดยทำให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สารสนเทศจะมีประโยชน์หรือมีค่าต่อผู้ใช้มากน้อยเพียงใดนั้นจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของสารสนเทศนั้นๆ สารสนเทศที่มีคุณภาพควรมีลักษณะที่สำคัญ ๆ มีดังนี้
1.เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
2.ถูกต้องเชื่อถือได้
3.สมบูรณ์ครบถ้วน
4.ทันเวลา
5.แสดงเป็นจำนวนได้
6.ตรวจสอบความถูกต้องได้
7.สามารถเข้าใจได้
8.สามารถเปรียบเทียบกันได้
เหตุผลที่นักบัญชีควรศึกษาและทำความเข้าใจระบบการสื่อสารข้อมูลนักบัญชีมักจะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางธุรกิจ ซึ่งความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ของการตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับคุณภาพของสารสนเทศที่ได้รับ ว่าได้ทันตามเวลาที่ต้องการและมีความถูกต้องหรือไม่ แต่จากการที่แนวโน้มของธุรกิจในยุคปัจจุบันนั้น มีโครงสร้างองค์กรที่สลับซับซ้อน และมีสาขาหรือหน่วยงานที่กระจายแยกกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผลและการสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้นเพิ่มมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงมีการนำระบบคอมพิวเตอร์และระบบการสื่อสารข้อมูลมาประยุกต์ใช้ในระบบสารสนเทศทางการบัญชี เพื่อทำให้การส่งและรับข้อมูลระหว่างสาขาหรือหน่วยงานที่กระจายแยกกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีความถูกต้องน่าเชื่อถือ และยังสามารถทำให้ผู้ใช้ที่ผ่านการอนุมัติสามารถเข้าถึงข้อมูลในระบบสารสนเทศทางการบัญชีของบริษัทได้ในทันทีที่ต้องการ โดยรวมแล้วมีเหตุผลหลาย ๆ ประการที่นักบัญชีควรศึกษาและทำความเข้าใจระบบการสื่อสารข้อมูลได้แก่ ความสามารถในการส่งสารสนเทศการบัญชีไปยังผู้ที่ต้องการใช้ได้ทันกับความต้องการ ไม่ว่าผู้ใช้ข้อมูลนั้นจะอยู่ที่ใดก็ตาม ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุด และเร็วที่สุด คือการส่งผ่านระบบการสื่อสารข้อมูลที่รวดเร็วและทันสมัย นักบัญชีซึ่งอาจจะอยู่ในฐานะของผู้ใช้งาน หรือควบคุมดูแลระบบการสื่อสารข้อมูล ดังนั้นนักบัญชีจึงควรทำความเข้าใจพื้นฐานของระบบการสื่อสารข้อมูล นักบัญชีซึ่งอาจจะอยู่ในฐานะของผู้ตรวจสอบ และเป็นผู้ทำการประเมินการทำงานของระบบการสื่อสารข้อมูล นักบัญชีจึงจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่มีการส่งผ่านเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลนั้นมีความถูกต้องน่าเชื่อถือ นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันแนวโน้มของโปรแกรมสำเร็จรูปทางการบัญชีส่วนใหญ่ มีการนำเทคโนโลยีในการสื่อสารข้อมูลมาประยุกต์ใช้ ดังนั้นนักบัญชีไม่ว่าจะอยู่ในฐานะของพนักงานบัญชีในองค์กร หรือที่ปรึกษา หรือผู้สอบบัญชี ต่างก็ควรที่จะสนใจศึกษา ค้นคว้า ทำความเข้าใจและติดตามความก้าวหน้าทางด้านระบบการสื่อสารข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
📷📷📷📷📷📷 ข้อมูล สารสนเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและสารสนเทศ
ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงต่างๆที่เก็บรวบรวมไว้ เป็นเพียงสิ่งที่บอกเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นได้ เป็นข้อมูลดิบ
สารสนเทศ ( Information) หมายถึง ข้อมูลที่ได้ผ่านการประมวลผลและถูกจัดให้อยู่ในรูปที่มีความหมายและมีประโยชน์ต่อการตัดสินใจ หรือนำไปใช้งาน
ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี ปัจจุบันงานของนักบัญชีมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยทำให้มีการพัฒนาชุดคำสั่งสำเร็จรูปหรือชุดคำสั่ง เฉพาะสำหรับช่วยในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความถูกต้องใน การทำงานแก่ผู้ใช้ ทำให้นักบัญชีมีเวลาในการปฏิบัติงานเชิงบริหารมากขึ้น เช่น การออกแบบและพัฒนาระบบงาน พัฒนาระบบงบประมาณและระบบข้อมูลสำหรับผู้บริหาร เป็นต้น โดยที่ ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information systems) หรือที่เรียกว่า AIS จะเป็นระบบที่รวบรวม จัดระบบ และนำเสนอสารสนเทศทางการบัญชีที่ช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์การ โดยระบบสารสนเทศทางการบัญชีจะให้ความสำคัญกับสารสนเทศที่สามารถวัดได้ หรือ การประมวลผล เชิงปริมาณมากกว่าการแก้ปัญหาเชิงคุณภาพ โดยระบบสารสนเทศด้านการบัญชีจะมีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วนคือ
1. ระบบบัญชีการเงิน (financial accounting system) บัญชีการเงินเป็นการบันทึกรายการคำที่เกิดขึ้นในรูปตัวเงิน จัดหมวดหมู่รายการต่าง ๆ สรุปผลและตีความหมายในงบการเงิน ได้แก่ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ นำเสนอสารสนเทศแก่ผู้ใช้และผู้ที่สนใจข้อมูลทางการเงินขององค์การ เช่น นักลงทุนและเจ้าหนี้ นอกจากนี้ยังจัดเตรียมสารสนเทศในการตัดสินใจของผู้บริหาร ซึ่งนักบัญชีสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศใช้ในการประมวลข้อมูล โดยจดบันทึกลงในสื่อต่าง ๆ เช่น เทปหรือจานแม่เหล็ก เพื่อรอเวลาสำหรับทำการประมวลและแสดงผลข้อมูลตามต้องการ
2. ระบบบัญชีบริหาร (managerial accounting system) บัญชีบริหารเป็นการนำเสนอข้อมูลทางการเงินแก่ผู้บริหาร เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ ระบบบัญชีจะประกอบด้วย บัญชีต้นทุน การงบประมาณ และการศึกษาระบบ โดยมีลักษณะสำคัญคือ
- ให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศทางการบัญชีแก่ผู้ใช้ภายในองค์การ
- ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานในอนาคตของธุรกิจ
- ไม่ต้องจัดทำสารสนเทศตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
- มีข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน
- มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งาน
ระบบสารสนเทศทางการบัญชี จะให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อมูลและการติดต่อสื่อสารทางการเงิน ซึ่งเป็นกระบวนการติดต่อสื่อสารมากกว่าการวัดมูลค่า โดยที่ ระบบสารสนเทศทางการบัญชี จะแสดงภาพรวม จัดเก็บ จัดโครงสร้าง ประมวลข้อมูล ควบคุมความปลอดภัย และการรายงานสารสนเทศทางการบัญชี ปัจจุบันการดำเนินงานและการไหลเวียนของข้อมูลทางการบัญชีมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้นักบัญชีต้องกำหนดคุณสมบัติของสารสนเทศด้านการบัญชีให้สัมพันธ์กับการดำเนินงานขององค์การ ประการสำคัญ ระบบสารสนเทศทางการบัญชี และระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการจะมีทั้งส่วนที่แยกออกจากกันและเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน แต่ MIS จะให้ความสำคัญกับการจัดการสารสนเทศสำหรับการตัดสินใจของผู้บริหาร ขณะที่ ระบบสารสนเทศทางการบัญชี จะประมวลสารสนเทศเฉพาะสำหรับผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกองค์การ เช่น นักลงทุน เจ้าหนี้ และผู้บริหาร เป็นต้น
ระบบสารสนเทศทางการบัญชี คือ ระบบที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแปลงหรือประมวลผลข้อมูลทางการเงิน ( Financial data ) ให้เป็นสารสนเทศที่มีประโยชน์ในการตัดสินใจต่อผู้ใช้ แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. บุคคลภายในองค์กร ได้แก่ ผู้ บริหารในระดับต่างๆ
2. บุคคลภายนอกองค์กร เช่นผู้ถือหุ้น นักลงทุน เจ้าหนี้ หน่วยงานรัฐบาลและคู่แข่งขัน เป็นต้น
สารสนเทศที่เป็นประโยชน์
- งบกำไรขาดทุน
- งบดุล
- งบกระแสเงินสด
ส่วนประกอบทางการบัญชี
1.เป้าหมายและวัตถุประสงค์ ( Goals and Objectives )
2.ข้อมูลเข้า ( Inputs ) ยอดขายสินค้า ราคาขายของกิจการ ราคาขายของคู่แข่งขัน ยอดขายของคู่ แข่งขัน
3.ตัวประมวลผล ( Processor ) คือ เครื่อง มือที่ ใช้ ในการแปลงสภาพจากข้อมูลให้ เป็นสารสนเทศ มักใช้ คอมพิวเตอร์ทำงานการคำนวณ การเรียงลำดับ การคิดร้อยละ การจัดหมวดหมู่ การจัดทำกราฟ ฯลฯ
4. ข้อมูลออก หรือผลลัพธ์ ( Output ) คือ สารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้
5. การป้อนกลับ ( Feedback)
6.การ เก็บ รักษาข้อมูล ( Data Storage )
7. คำสั่งและขั้นตอนการ ปฏิบัติงาน ( Instructions and Procedures )
8.ผู้ใช้ ( Users)
9. การควบคุมและรักษา ความปลอดภัยของข้อมูล ( Control and Security Measures )
หน้าที่ของระบบสารสนเทศทางการบัญชี
1. การรวบรวมข้อมูล ( Data Collection )
2. การประมวลผลข้อมูล ( Data Processing )
3. การจัดการข้อมูล ( Data Management )
4.การควบคุมข้อมูล และรักษา ความปลอดภัยของข้อมูล ( Data Control and Data Security )
5. การจัดทำสารสนเทศ ( Information Generation )
https://www.youtube.com/watch?v=WDgs6PPxaF0&feature=youtu.be
Comments